วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2561

อารยธรรมเอเชีย

           

อารยธรรมเอเชีย
เอเชีย เป็นทวีปใหญ่และมีประชากรมากที่สุดในโลก ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในซีกโลกเหนือและตะวันออก
ครอบคลุมพื้นที่ร้อยละ 8.7 ของผิวโลก(ร้อยละ 30 ของส่วนที่เป็นพื้นดิน)และมีประชากรราว 
3,900 ล้านคน หรือร้อยละ 60 ของประชากรมนุษย์ปัจจุบัน 
ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 20 ประชากรเอเชียเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าตามบทนิยามที่เสนอ
โดยสารนุกรมบริตานิกาและสมาคมเนชั่นเนลเอเชียมีพื้นที่ 4/5 ของทวีปยูเรเชีย 
โดยมีส่วนตะวันตกของยูเรเชียเป็นทวีปยุโรปเอเชียตั้งอยู่ทางตะวันออกของคลองสุเอซ 
ตะวันออกของเทือกเขาอูราล
และใต้เทือกเขาคอเคซัส  และทะเลสาปเเคสเปียนและทะเลสีดำ
พรมแดนตะวันออกติดมหาสมุทรเเปซิฟิก ใต้ติดมหาสมุทรอินเดีย
และเหนือติดมหาสมุทรแอนตัสติกมีหนึ่งประเทศตั้งอยู่ในทะเลเมติเตอร์เรเนียนคือ ไซปัส
 เอเชียเป็นทวีปที่มีความหลากหลายมาทั้งกลุ่มเชื้อชาติ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม
เศรษฐกิจความผูกพันทางประวัติศาสตร์และระบบรัฐบาล
เมื่อไม่มีพวกกุษาณะเป็นโอกาสให้แคว้นมคธเรืองอำนาจอีกครั้งภายใต้พวกลิจฉวี
 ในพ.ศ. 863จันทคุปต์แต่งงานกับลูกสาวพวกลิจฉวี 
จึงได้ครองแคว้นมคธภายใต้ราชวงศ์คุปต์
พระโอรสคือพระเจ้าสมุทรคุปต์แผ่ขยายอิทธิพลคุปตะไปทางใต้แทนที่ราชวงศ์คันธาระ 
ประมาณ
พ.ศ. 900 ราชวงศ์คุปตะก็ได้อินเดียไปครึ่งทวีป และพ.ศ. 952พระเจ้าจันทร์คุปต์ที่2
 ปราบพวกสักกะในแคว้นมัลละได้หมด
สมัยคุปตะเป็นสมัยที่ศิลปวัฒนธรรมอินเดียรุ่งเรือง เป็นยุคทองของศาสนาฮินดูและพุทธ
 คัมภีร์ปุราณะก็ถือกำเนิดในสมัยนี้ แต่ราชวงศ์คุปตะก็เสื่อมลง ด้วยการรุกรานจากพวกหุนะ
 หรือ พวกฮั่น (Huns) หรือ เฮฟทาไล จากเอเชียกลาง พวกหุนะบุกทะลุทะลวงเข้ามายึดได้ตั้งแต่เทือกเขาฮินดูกูชถืงแคว้นมัลละ ราชวงศ์คุปตะอ่อนแอลงและแตกออกเป็นอาณาจักรย่อยๆ 
ขณะที่ราชวงศ์คุปตะยังคงครองแคว้นมคธอยู่แต่สูญเสียการควบคุมอาณาจักรอื่น
ส่วนทางใต้ในพ.ศ. 888 ราชวังศ์คาดัมบา  เป็นราชวงศ์คันนาดาเป็นพวกฑราวิท
 ตั้งตนขึ้นมามีอำนาจแทนราชวงศ์คันธาระเดิมและต้านทานอินธิพลของราชวงศ์คุปตะได้
 นอกจากพวกทมิฬแล้วราชวงศ์คาดัมบาเป็นราชวงศ์ดราวิเดียนราชวงศ์แรกที่ได้ปกครองตนเอง 
ขณะที่พวกทมิฬก็สูญเสียเอกราขให้แก่ราชวงศ์กัลพร์


ประวัติศาสตร์ของเอเชีย ปรากฏให้เห็น ในรูปของประวัติศาสตร์ภูมิภาคชายฝั่งรอบนอกของทวีปหลาย ๆภูมิภาคที่มีความแตกต่างกัน คือเอเชียตะวันออก เอเชียใต้ และเอเชียกลาง ซึ่งพื้นที่ทั้ง 3 ภูมิภาคนี้ถูกเชื่อมโยงติดต่อกันโดยดินแดนแห่งทุ่งหญ้ายูเรเชียที่กว้างใหญ่ไพศาลภายในทวีป 
พื้นที่ชายฝั่งทวีปเอเชียคือพื้นที่ที่อารยธรรมยุคแรก ๆ ก่อกำเนิดขึ้น ทั้ง 3 ภูมิภาคพัฒนาอู่อารยธรรมของตนขึ้นมาบนพื้นที่บริเวณดินแดนลุ่มแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ 3 สาย คือ
1.อารยธรรมลุ่มแม่น้ำเมโสโปเตเมีย ใน เอเชียกลาง
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ เป็นอารยธรรมในยุคสำริด(ประมาณ 2500 - 1900 ก่อนคริสตกาล) ถือกำเนิดขึ้นบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุในประเทศอินเเดียและปากีสถานในปัจจุบัน ถือเป็นอารยธรรมยุคแรกๆของโลก ซึ่งนักโบราณคดีเรียกว่ายุคฮารัปปัน วัฒนธรรมเก่าสุดเริ่มจาก
  1. เมืองอัมรี  บริเวณปากแม่น้ำสินธุ อายุ 4,000 B.C. พบเครื่องปั้นดินเผาระบายสี คล้ายของเมโสโปเตเมีย
  2. เมืองฮารับปา และโมเหนโจ –ดาโร อายุ 2,600 – 1,900 B.C.
  3. เมืองชุคาร์ และจันหุดาโร อายุ 1,000 – 500 B.C.
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ มีเมืองสำคัญที่ได้รับการขุดค้นแล้ว 2 แห่ง คือ เมืองฮารับปา และโมเหนโจ – ดาโร ทั้งสองเมืองมีอารยธรรมที่เหมือนกันทุกประการ แม้ห่างกัน 350 ไมล์(600 กิโลเมตร) จัดเป็นสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ อินเดีย เพราะพบจารึกจำนวนมาก แต่ยังไม่มีผู้ใดอ่านออก
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุถูกโจมตีอย่างรุนแรง พบโครงกระดูกถูกฆ่าตายจำนวนมาก หรืออาจล่มสลายเพราะภัยธรรมชาติ เช่นน้ำท่วม หรือโรคระบาด หรือเพราะความมั่งคั่ง
ชาวอารยันผู้รุกราน ค่อยๆแพร่จากภาคเหนือไปทางตะวันออก และลงไปทางใต้อย่างช้าๆ ลงไปยังดินแดนคาบสมุทรเดคข่าน (ซึ่งยังเป็นวัฒนธรรมหินใหม่อยู่) นำเอาทองแดง และเหล็กไปเผยแพร่ ทางใต้จึงเปลี่ยนจากหินใหม่เป็นโลหะทันที

เมื่ออารยันตั้งหลักแหล่งในประเทศอินเดียแล้ว จึงเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์อินเดียอย่างแท้จริง

อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
Pergamon Museum Berlin 2007083.jpg
2.อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ในเอเชียใต้
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ เป็นอารยธรรมในยุคสำริด (ประมาณ 2500 - 1900 ก่อนคริสตกาล) ถือกำเนิดขึ้นบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุในประเทศอินเดียและปากีสถานในปัจจุบัน ถือเป็นอารยธรรมยุคแรกๆของโลก ซึ่งนักโบราณคดีเรียกว่ายุคฮารัปปัน วัฒนธรรมเก่าสุดเริ่มจาก
  1. เมืองอัมรี  บริเวณปากแม่น้ำสินธุ อายุ 4,000 B.C. พบเครื่องปั้นดินเผาระบายสี คล้ายของเมโสโปเตเมีย
  2. เมืองฮารับปา และโมเหนโจ –ดาโร อายุ 2,600 – 1,900 B.C.
  3. เมืองชุคาร์ และจันหุดาโร อายุ 1,000 – 500 B.C.
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ มีเมืองสำคัญที่ได้รับการขุดค้นแล้ว 2 แห่ง คือ เมืองฮารับปา และโมเหนโจ – ดาโร ทั้งสองเมืองมีอารยธรรมที่เหมือนกันทุกประการ แม้ห่างกัน 350 ไมล์(600 กิโลเมตร) จัดเป็นสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ อินเดีย เพราะพบจารึกจำนวนมาก แต่ยังไม่มีผู้ใดอ่านออก
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุถูกโจมตีอย่างรุนแรง พบโครงกระดูกถูกฆ่าตายจำนวนมาก หรืออาจล่มสลายเพราะภัยธรรมชาติ เช่นน้ำท่วม หรือโรคระบาด หรือเพราะความมั่งคั่ง
ชาวอารยันผู้รุกราน ค่อยๆแพร่จากภาคเหนือไปทางตะวันออก และลงไปทางใต้อย่างช้าๆ ลงไปยังดินแดนคาบสมุทรเดคข่าน (ซึ่งยังเป็นวัฒนธรรมหินใหม่อยู่) นำเอาทองแดง และเหล็กไปเผยแพร่ ทางใต้จึงเปลี่ยนจากหินใหม่เป็นโลหะทันที

เมื่ออารยันตั้งหลักแหล่งในประเทศอินเดียแล้ว จึงเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์อินเดียอย่างแท้จริง




ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อารยธรรมลุ่มแม่น้ําสินธุ






3.อารยธรรมลุ่มแม่น้ำฮวงโห ในเอเชียตะวันออก
แม่น้ำเหลืองหรือหวงเหอเป็นแม่น้ำสายยาวเป็นอันดับสองของจีน รองจากแม่น้ำแยงซีหรือฉางเจียง ชื่อแม่น้ำเหลืองได้จากดนทรายสีเหลืองที่แม่น้ำสายนี้พัดพามาจากทิศตะวันตกทำให้ความอุดมสมบูรณ์ในสองฟากแม่น้ำและในบริเวณที่แม่น้ำสายนี้ท่วมท้น แม่น้ำเหลืองให้ทั้งความอุดมสมบูรณ์ในการเพาะปลูก ทำมาหากิน และทำให้เกิดความหายนะทั้งทรัพย์สินและชีวิตเมื่อแม่น้ำเกิดท่วมท้น ดังนั้น แม่น้ำเหลืองจึงได้อีกชื่อหนึ่งว่า “แม่น้ำวิปโยค”



อู่อารยธรรมทั้ง 3 มีความเหมือนกันหลายประการ และคงมีการติดต่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี่และแนวความคิดระหว่างกันด้วย เช่น ความรู้ด้านคณิตศาสตร์ และการประดิษฐ์ล้อวงกลม เป็นต้น ขณะที่ความคิดอื่นๆ เช่นตัวอักษรนั้นคงมีการพัฒนาแยกเป็นอิสระจากกันในแต่ละภูมิภาค แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ำทั้ง 3 ของเอเชียได้เจริญรุ่งเรื่อง พัฒนาเข้าสู่ความเป็น "รัฐ" แล้วขยายอำนาจกลายเป็นอาณาจักรใหญ่ หรือ "จักรวรรดิ" ได้ในเวลาต่อมา
ภูมิภาคทุ่งหญ้าที่แห้งแล้งภายในของทวีปเอเชียนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าเร่ร่อน (nomads) ที่ขี่ม้า เลี้ยงสัตว์ อยู่ในดินแดนแห่งนี้มาเป็นเวลายาวนาน การมีม้าเป็นพาหนะทำให้พวกเขาสามารถเดินทางจากใจกลางทุ่งโล่งภายในทวีปออกไปยังดินแดนส่วนอื่นๆของทวีปได้ การเคลื่อนย้ายถิ่นฐานจากทุ่งหญ้าครั้งแรกสุดที่รู้จักกันคือกลุ่มอินโด-ยูโรเปียน ซึ่งส่งผลให้เกิดการถ่ายทอดภาษาของกลุ่มออกไปยังดินแดนในตะวันออกกลาง อินเดีย เข้าไปถึงโตชาเรียนและชายแดนจีน ส่วนพื้นที่ทางเหนือของทวีปเอเชีย ซึ่งครอบคลุมส่วนใหญ่ของไซบีเรียนั้นยังเป็นพื้นที่ที่ชนเผ่าเร่ร่อนเหล่านี้เดินทางไปไม่ถึงเนื่องจากภูมิประเทศเป็นป่าทึบและเป็นเขตทุ่งน้ำแข็งที่หนาวเย็น พื้นที่บริเวณนี้จึงมีฝูงชนอาศัยอยู่เบาบางมาก
พื้นที่ใจกลางทวีปและแหล่งอารยธรรมลุ่มน้ำชายขอบทวีปถูกแยกออกจากกันโดยแนวเทือกเขาสูงและทะเลทรายที่กว้างใหญ่ เช่น  เทือกเขาคอเคซัส เทือกเขาหิมาลัย ทะเลทรายคาราคูม ทะเลทรายโกบี เป็นต้น เทือกเขาและทะเลทรายเหล่านี้ได้กลายเป็นอุปสรรคขัดขวางสำคัญที่ทำให้ชนเผ่าเร่ร่อนบนหลังม้าต้องเดินทางด้วยความยากลำบากกว่าจะสามารถรุกข้ามไปยังพื้นที่ลุ่มชายฝั่งได้ ขณะที่ประชากรเมืองที่อาศัยอยู่ในแหล่งอารยธรรมเหล่านี้มีความก้าวหน้าทั้งทางด้านเทคโนโลยีและวัฒนธรรมมากกว่าชนเผ่าเร่ร่อนมาก แต่ก็ตกเป็นรองผู้รุกรานบนหลังม้ามากทางด้านการทหาร ทำให้กลายเป็นผู้พ่ายแพ้ไป อย่างไรก็ตาม เนื่องจากดินแดนในที่ลุ่มเหล่านี้ไม่มีทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่สำหรับเลี้ยงดูกองทัพม้าขนาดมหึมาของผู้รุกรานได้ ท้ายที่สุด ชนเผ่าเร่รอนผู้พิชิตรัฐต่างๆ ทั้งในจีน อินเดีย และตะวันออกกลาง จึงถูกบีบให้ปรับตัวเข้ากับสังคมท้องถิ่นที่ตนเป็นฝ่ายรุกรานครอบครองไป



























สมาชิกในกลุ่ม
ด.ญ.กาญจนา สร้อยทรัพย์ ม.2/4 เลขที่ 25
ด.ญ.ญานิศา ขันสิงห์ ม.2/4 เลขที่ 31
ด.ญ.ธนัชพร ขันอาสา ม.2/4 เลขที่ 33
ด.ญ.ปิ่นภินัสม์ ม. 2/4 เลขที่ 43